ถาม | อธิบายความแตกต่างระหว่างตัวแบบเชิงแนวคิด (Conceptual Model) และตัวแบบเชิงตรรกะ (Logical Model) ในการพัฒนาระบบสารสนเทศ และยกตัวอย่างประกอบ |
ตอบ |
ตัวแบบทั้งสองเป็นเครื่องมือสำคัญในการออกแบบฐานข้อมูล แต่มีระดับความละเอียดที่ต่างกัน
* ตัวแบบเชิงแนวคิด (Conceptual Model): เป็นการสร้างแผนภาพในระดับสูงที่เน้นความเข้าใจในโลกแห่งความเป็นจริง โดยจะระบุเพียง เอนทิตี (Entity) และ ความสัมพันธ์ (Relationship) ที่สำคัญเท่านั้น โดยไม่ได้สนใจว่าในทางเทคนิคจะถูกนำไปจัดเก็บอย่างไร ตัวอย่าง: ในระบบจัดการห้องสมุด ตัวแบบแนวคิดอาจประกอบด้วยเอนทิตี "หนังสือ" และ "สมาชิก" ที่มีความสัมพันธ์แบบ "สมาชิกยืมหนังสือ"
* ตัวแบบเชิงตรรกะ (Logical Model): เป็นการนำตัวแบบเชิงแนวคิดมาขยายความให้ละเอียดขึ้น โดยจะระบุถึง แอตทริบิวต์ (Attribute) หรือคุณสมบัติของแต่ละเอนทิตี รวมถึงกำหนด คีย์หลัก (Primary Key) และ คีย์นอก (Foreign Key) เพื่อใช้ในการเชื่อมโยงข้อมูล แต่ยังคงเป็นอิสระจากเทคโนโลยีหรือซอฟต์แวร์ที่ใช้จริง ตัวอย่าง: จากตัวอย่างข้างต้น ตัวแบบเชิงตรรกะจะระบุแอตทริบิวต์ เช่น เอนทิตี "หนังสือ" มีแอตทริบิวต์ "รหัสหนังสือ", "ชื่อหนังสือ", "ผู้แต่ง" เป็นต้น
สรุปคือ ตัวแบบเชิงแนวคิดคือ "ภาพใหญ่" ของข้อมูล ส่วนตัวแบบเชิงตรรกะคือ "แผนผัง" ที่ละเอียดขึ้นแต่ยังไม่ลงลึกถึงวิธีการจัดเก็บจริง
|
ถาม | อธิบายความสำคัญของตัวแบบเชิงกายภาพ (Physical Model) และยกตัวอย่างสิ่งที่ต้องพิจารณาในการออกแบบตัวแบบนี้ |
ตอบ |
ตัวแบบเชิงกายภาพคือ ตัวแบบที่ละเอียดที่สุด ที่จะระบุว่าข้อมูลจะถูกจัดเก็บและเข้าถึงได้อย่างไรในฐานข้อมูลจริง มีความสำคัญเนื่องจากเป็นแบบพิมพ์เขียวสุดท้ายที่ใช้ในการสร้างฐานข้อมูลจริงในระบบจัดการฐานข้อมูล (Database Management System: DBMS) ช่วยให้การจัดเก็บข้อมูลมีประสิทธิภาพสูงสุดและสอดคล้องกับข้อจำกัดทางเทคนิค
สิ่งที่ต้องพิจารณาในการออกแบบตัวแบบเชิงกายภาพ ได้แก่:
* ประเภทข้อมูล (Data Type): การกำหนดประเภทข้อมูลที่เหมาะสม เช่น INT, VARCHAR, DATE เพื่อประหยัดพื้นที่จัดเก็บและเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผล
* การกำหนดดัชนี (Indexing): การสร้างดัชนีสำหรับแอตทริบิวต์ที่มีการสืบค้นบ่อย เพื่อเพิ่มความเร็วในการค้นหาข้อมูล
* การจัดเก็บข้อมูล: การกำหนดวิธีการจัดเก็บข้อมูลบนดิสก์และโครงสร้างของไฟล์ข้อมูล
* ข้อจำกัดเชิงบูรณภาพ (Integrity Constraints): การกำหนดข้อบังคับต่างๆ เช่น NOT NULL หรือ UNIQUE เพื่อรับรองความถูกต้องของข้อมูล
|
ถาม | ยกตัวอย่างการใช้งานตัวแบบในระบบสารสนเทศในบริบทที่แตกต่างกัน พร้อมอธิบายว่าตัวแบบแต่ละประเภทช่วยในกระบวนการทำงานอย่างไร |
ตอบ |
ตัวอย่างที่ 1: การพัฒนาซอฟต์แวร์
* ตัวแบบเชิงแนวคิด: ทีมธุรกิจและนักวิเคราะห์ระบบใช้ตัวแบบนี้เพื่อสื่อสารและทำความเข้าใจความต้องการของระบบในภาพรวม เช่น "เราต้องการติดตามลูกค้า", "เราต้องการบันทึกคำสั่งซื้อ"
* ตัวแบบเชิงตรรกะ: นักวิเคราะห์ระบบและนักออกแบบฐานข้อมูลนำตัวแบบเชิงแนวคิดมาขยายให้ละเอียดขึ้น เพื่อกำหนดโครงสร้างของข้อมูลที่จะใช้ในแอปพลิเคชัน
* ตัวแบบเชิงกายภาพ: ผู้ดูแลระบบฐานข้อมูล (DBA) นำตัวแบบเชิงตรรกะมาสร้างเป็นตารางจริงในฐานข้อมูล เช่น MySQL หรือ SQL Server โดยมีการกำหนดค่าต่างๆ เพื่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
ตัวอย่างที่ 2: การจัดการข้อมูลธุรกิจ (Business Intelligence)
* ตัวแบบเชิงแนวคิด: ผู้บริหารและนักวิเคราะห์ธุรกิจใช้ตัวแบบนี้เพื่อกำหนดว่าต้องการวิเคราะห์ข้อมูลอะไรบ้าง เช่น "ต้องการดูความสัมพันธ์ระหว่างยอดขายกับประเภทสินค้า"
* ตัวแบบเชิงตรรกะ: นักวิเคราะห์ข้อมูลนำมาออกแบบคลังข้อมูล (Data Warehouse) โดยจัดโครงสร้างข้อมูลให้ง่ายต่อการวิเคราะห์ (เช่น Schema แบบดาว หรือ Star Schema)
* ตัวแบบเชิงกายภาพ: ผู้ดูแลระบบสร้างคลังข้อมูลจริง โดยคำนึงถึงการประมวลผลคำสั่งที่ซับซ้อนและขนาดข้อมูลที่ใหญ่ เพื่อให้การดึงรายงานเป็นไปอย่างรวดเร็ว
|