คำถาม คำตอบ (Question & Answer) logo on print
os

ระบบคำถาม-คำตอบ

ระบบคำถาม-คำตอบ (Question-Answering System) คือ เทคโนโลยีที่ช่วยให้คอมพิวเตอร์สามารถทำความเข้าใจคำถามที่มนุษย์ถามด้วยภาษาธรรมชาติ และสามารถค้นหาหรือสร้างคำตอบที่ถูกต้องและตรงประเด็นจากฐานข้อมูลหรือชุดข้อมูลขนาดใหญ่ได้ แทนที่จะต้องไปค้นหาข้อมูลเองในฐานข้อมูลต่าง ๆ แล้วอ่านทำความเข้าใจเองทั้งหมด ระบบนี้จะทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยที่ตอบคำถามให้เราได้ทันที เหมือนเรากำลังคุยกับผู้เชี่ยวชาญ
OS | MIS | SEO | Responsive | คำสำคัญ (Key)
Q&A : mis/mis16.htm
การพัฒนาขึ้นเอง (In-house Development):
* ข้อดี:
   - ตรงตามความต้องการ: ระบบจะถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะขององค์กรโดยตรง
   - ความยืดหยุ่น: สามารถแก้ไขหรือเพิ่มเติมฟังก์ชันการทำงานในอนาคตได้ง่าย
   - ความเป็นเจ้าของ: องค์กรมีความเข้าใจและควบคุมเทคโนโลยีของตนเองได้อย่างสมบูรณ์
* ข้อเสีย:
   - ต้นทุนสูงและใช้เวลานาน: ต้องใช้ทรัพยากรบุคคลและงบประมาณจำนวนมากในการพัฒนา
   - ความเสี่ยงสูง: อาจเกิดความผิดพลาดในการออกแบบหรือพัฒนา ทำให้โครงการล้มเหลวได้
   - การบำรุงรักษา: องค์กรต้องรับผิดชอบการบำรุงรักษาและแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง
ซื้อสำเร็จรูป (Commercial Off-the-Shelf - COTS):
* ข้อดี:
   - ต้นทุนต่ำและติดตั้งรวดเร็ว: ไม่ต้องเสียเวลาพัฒนาเอง สามารถนำไปใช้งานได้ทันที
   - เชื่อถือได้: มักเป็นซอฟต์แวร์ที่ผ่านการทดสอบและใช้งานมาแล้ว
   - การสนับสนุนจากผู้ขาย: มีการสนับสนุนทางเทคนิคและอัปเดตจากผู้ผลิต
* ข้อเสีย:
   - ไม่ตรงตามความต้องการ: อาจมีฟังก์ชันการทำงานที่ไม่จำเป็น หรือขาดฟังก์ชันที่สำคัญบางอย่าง
   - ความยืดหยุ่นต่ำ: การปรับแต่งแก้ไขทำได้จำกัดหรืออาจมีค่าใช้จ่ายสูง
   - พึ่งพาผู้ขาย: องค์กรต้องพึ่งพาผู้ผลิตซอฟต์แวร์ในการอัปเดตและแก้ไขปัญหา
ถามการจัดหาระบบสารสนเทศแบบ "พัฒนาขึ้นเอง (In-house Development)" และ "ซื้อสำเร็จรูป (Commercial Off-the-Shelf - COTS)" มีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันอย่างไร
ถามในขั้นตอนการติดตั้งระบบใหม่ มีวิธีการเปลี่ยนผ่าน (Conversion) จากระบบเก่าสู่ระบบใหม่อย่างไรบ้าง? และวิธีใดที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุด
ตอบ วิธีการเปลี่ยนผ่านจากระบบเก่าสู่ระบบใหม่มีหลายวิธี:
1. การเปลี่ยนผ่านโดยตรง (Direct Conversion): เป็นการหยุดใช้ระบบเก่าและเปลี่ยนไปใช้ระบบใหม่ทันทีในวันเดียว ข้อดี: รวดเร็ว ข้อเสีย: มีความเสี่ยงสูงมาก หากระบบใหม่มีปัญหาจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานอย่างรุนแรง
2. การเปลี่ยนผ่านแบบขนาน (Parallel Conversion): เป็นการใช้งานทั้งระบบเก่าและระบบใหม่ควบคู่กันไปเป็นระยะเวลาหนึ่ง ข้อดี: มีความเสี่ยงต่ำที่สุด เพราะหากระบบใหม่มีปัญหา ยังคงมีระบบเก่าที่ใช้งานได้อยู่ ข้อเสีย: สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายและแรงงานสูง
3. การเปลี่ยนผ่านแบบนำร่อง (Pilot Conversion): เป็นการติดตั้งระบบใหม่ในหน่วยงานนำร่องหรือสาขาเพียงแห่งเดียวก่อน เมื่อมั่นใจแล้วจึงค่อยขยายไปยังหน่วยงานอื่น ข้อดี: สามารถทดสอบระบบในสภาพแวดล้อมจริงได้โดยมีความเสี่ยงต่ำ ข้อเสีย: ใช้เวลานานกว่าจะใช้งานได้ครบทุกส่วน
4. การเปลี่ยนผ่านแบบแบ่งส่วน (Phased Conversion): เป็นการเปลี่ยนผ่านระบบใหม่ทีละส่วนงานหรือทีละฟังก์ชัน ข้อดี: มีความเสี่ยงต่ำกว่าแบบโดยตรง และสามารถบริหารจัดการได้ง่ายกว่า ข้อเสีย: อาจใช้เวลานานและต้องจัดการการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างระบบเก่าและใหม่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน
วิธีที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุดคือ การเปลี่ยนผ่านแบบขนาน เนื่องจากมีระบบเก่าเป็นตัวสำรองตลอดเวลา ทำให้มั่นใจได้ว่าการดำเนินงานจะไม่หยุดชะงักหากเกิดปัญหาในระบบใหม่
ถามอธิบายความสำคัญของการบำรุงรักษาระบบ (System Maintenance) และแบ่งประเภทของการบำรุงรักษาออกเป็นกี่ประเภท พร้อมยกตัวอย่างประกอบ
ตอบ การบำรุงรักษาระบบมีความสำคัญอย่างยิ่งเพราะช่วยให้ระบบสารสนเทศสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับความต้องการขององค์กรที่เปลี่ยนแปลงไป การละเลยการบำรุงรักษาจะทำให้ระบบล้าสมัย เสถียรภาพลดลง และอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
การบำรุงรักษาสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภทหลัก:
1. การบำรุงรักษาเชิงแก้ไข (Corrective Maintenance): เป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดหรือข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นในระบบหลังจากการใช้งาน
   - ตัวอย่าง: การแก้ไขบั๊ก (bug) ในโปรแกรมที่ทำให้การคำนวณผิดพลาด
2. การบำรุงรักษาเชิงปรับปรุง (Adaptive Maintenance): เป็นการปรับปรุงระบบให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น การอัปเดตระบบปฏิบัติการ กฎหมาย หรือนโยบายธุรกิจ
   - ตัวอย่าง: การแก้ไขระบบการเงินให้รองรับการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มที่เปลี่ยนไป
3. การบำรุงรักษาเชิงเพิ่มประสิทธิภาพ (Perfective Maintenance): เป็นการปรับปรุงระบบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานหรือเพิ่มฟังก์ชันใหม่ๆ ตามความต้องการของผู้ใช้
   - ตัวอย่าง: การเพิ่มฟีเจอร์การค้นหาข้อมูลที่เร็วขึ้น หรือการเพิ่มส่วนการสร้างรายงานแบบใหม่
4. การบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (Preventive Maintenance): เป็นการดำเนินการเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
   - ตัวอย่าง: การจัดทำสำรองข้อมูล (backup) หรือการลบไฟล์ข้อมูลที่ไม่จำเป็นออกไปอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ระบบทำงานได้เสถียรขึ้น
ส่งข้อมูลออกเป็น ส่งออก: image ส่งออก: pdf
หัวข้อที่น่าสนใจ
OS
ระบบคอมพิวเตอร์
ระบบปฏิบัติการ
การจัดการโปรเซส
เทรด
การจัดการหน่วยความจำ
การจัดการเวลาซีพียู
ระบบรับและแสดงผล
ระบบแฟ้ม
ระบบกระจาย
การป้องกันแและระบบความมั่นคง
ระบบปฏิบัติการลีนุกซ์
ระบบปฏิบัติการวินโดว์
MIS
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
บุคลากร และองค์การ
ระบบ และตัวแบบ
การจัดการ และการตัดสินใจ
ฮาร์ดแวร์
ซอฟต์แวร์
การจัดการฐานข้อมูล
การสื่อสารโทรคมนาคม
การประมวลผลรายการ
ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ
ระบบฐานความรู้ (ปัญญาประดิษฐ์)
ระบบสารสนเทศสำนักงาน
บทบาทและขอบเขตของธุรกิจ
การวิเคราะห์ความต้องการ
การออกแบบระบบ
การจัดหา ติดตั้ง และบำรุงรักษา
ศูนย์สารสนเทศ
การจัดการทรัพยากรสารสนเทศ
ผลกระทบด้านจริยธรรม และสังคม
ประเด็นธุรกิจระหว่างประเทศ
ระบบความปลอดภัย
พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
Others
Web 2.0
Thaiall.com