ถาม | อธิบายความแตกต่างระหว่างสื่อนำสัญญาณแบบมีสาย (Guided Media) และสื่อนำสัญญาณแบบไร้สาย (Unguided Media) พร้อมยกตัวอย่างประกอบ |
ตอบ |
สื่อนำสัญญาณมีบทบาทสำคัญในการส่งข้อมูลในระบบโทรคมนาคม โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่:
* สื่อนำสัญญาณแบบมีสาย (Guided Media): เป็นสื่อที่ใช้เส้นทางที่จับต้องได้ในการส่งสัญญาณข้อมูล สัญญาณจะถูกจำกัดอยู่ในช่องทางทางกายภาพที่กำหนดไว้ ทำให้มีความปลอดภัยและมีความเร็วสูง ตัวอย่าง: สายคู่บิดเกลียว (Twisted-pair cable), สายโคแอกเชียล (Coaxial cable) และสายใยแก้วนำแสง (Fiber-optic cable) ซึ่งแต่ละชนิดมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันในด้านความเร็วและระยะทางในการส่งข้อมูล
* สื่อนำสัญญาณแบบไร้สาย (Unguided Media): เป็นสื่อที่ส่งสัญญาณผ่านอากาศหรืออวกาศโดยไม่มีเส้นทางทางกายภาพ สัญญาณจะกระจายออกไปในทุกทิศทาง ทำให้มีความยืดหยุ่นสูงและสามารถครอบคลุมพื้นที่กว้างได้ ตัวอย่าง: คลื่นวิทยุ (Radio waves) ที่ใช้ในการกระจายเสียงและสัญญาณโทรศัพท์มือถือ, คลื่นไมโครเวฟ (Microwaves) ที่ใช้ในการสื่อสารผ่านดาวเทียม และแสงอินฟราเรด (Infrared) ที่ใช้ในการควบคุมอุปกรณ์ระยะสั้น
สรุปคือ สื่อนำสัญญาณแบบมีสายเน้นความปลอดภัยและความเร็วสูงในเส้นทางที่กำหนด ส่วนสื่อนำสัญญาณแบบไร้สายเน้นความยืดหยุ่นและครอบคลุมพื้นที่กว้าง
|
ถาม | อธิบายประโยชน์ของสายใยแก้วนำแสง (Fiber-optic cable) ที่เหนือกว่าสายทองแดงแบบดั้งเดิมในการส่งข้อมูลทางไกล และยกตัวอย่างการประยุกต์ใช้ |
ตอบ |
สายใยแก้วนำแสงส่งข้อมูลในรูปของ สัญญาณแสง (Light signal) ซึ่งมีข้อดีที่สำคัญเหนือสายทองแดงที่ส่งข้อมูลในรูปสัญญาณไฟฟ้า ดังนี้:
* ความเร็วสูงและความจุข้อมูลมหาศาล: แสงสามารถเดินทางได้เร็วกว่าสัญญาณไฟฟ้ามาก และสายใยแก้วนำแสงมีความจุแบนด์วิธ (Bandwidth) ที่สูงกว่าหลายเท่า ทำให้สามารถส่งข้อมูลจำนวนมหาศาลได้ในเวลาอันสั้น
* ระยะทางการส่งข้อมูลที่ไกลกว่า: สัญญาณแสงจะอ่อนกำลังลงน้อยกว่าสัญญาณไฟฟ้า ทำให้สามารถส่งข้อมูลได้ในระยะทางที่ไกลกว่ามากโดยไม่ต้องใช้ตัวขยายสัญญาณบ่อยครั้ง
* ความทนทานต่อสัญญาณรบกวน: สายใยแก้วนำแสงไม่ได้รับผลกระทบจากสัญญาณรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic interference) ทำให้การส่งข้อมูลมีความเสถียรและน่าเชื่อถือสูง
การประยุกต์ใช้: สายใยแก้วนำแสงถูกใช้เป็นโครงข่ายหลัก (Backbone) ในการเชื่อมต่อระหว่างประเทศและระหว่างเมืองต่างๆ รวมถึงใช้เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำหรับ อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (Fiber-to-the-home) เพื่อส่งมอบความเร็วสูงและความเสถียรให้กับผู้ใช้งานตามบ้านและสำนักงาน
|
ถาม | "โครงข่ายเซลลูลาร์ (Cellular Network)" มีหลักการทำงานอย่างไร? และการเติบโตของโครงข่ายนี้มีผลกระทบต่อการสื่อสารในชีวิตประจำวันอย่างไร |
ตอบ |
โครงข่ายเซลลูลาร์ทำงานโดยการแบ่งพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ออกเป็นพื้นที่ย่อยๆ ที่เรียกว่า เซลล์ (Cells) . แต่ละเซลล์จะมี สถานีฐาน (Base station) ทำหน้าที่รับและส่งสัญญาณวิทยุไปยังโทรศัพท์มือถือภายในพื้นที่นั้นๆ เมื่อผู้ใช้งานเคลื่อนที่จากเซลล์หนึ่งไปยังอีกเซลล์หนึ่ง โทรศัพท์จะสลับการเชื่อมต่อจากสถานีฐานเดิมไปยังสถานีฐานใหม่โดยอัตโนมัติ ทำให้การสื่อสารไม่ถูกขัดจังหวะ
การเติบโตของโครงข่ายเซลลูลาร์ ตั้งแต่ยุค 2G (สำหรับเสียงและข้อความ) จนถึง 5G ในปัจจุบัน (สำหรับข้อมูลความเร็วสูง) มีผลกระทบอย่างมากต่อการสื่อสารในชีวิตประจำวัน:
* การเชื่อมต่อตลอดเวลา: ผู้คนสามารถเข้าถึงข้อมูลและสื่อสารกันได้จากทุกที่ ทำให้การทำงานและการใช้ชีวิตมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
* การเข้าถึงข้อมูลที่หลากหลาย: ความเร็วที่เพิ่มขึ้นของ 4G และ 5G ทำให้สามารถใช้แอปพลิเคชันที่ต้องใช้ข้อมูลจำนวนมากได้ เช่น การรับชมวิดีโอสตรีมมิ่ง หรือการใช้งานแอปพลิเคชันคลาวด์
* นวัตกรรมใหม่: โครงข่ายเซลลูลาร์เป็นรากฐานสำหรับนวัตกรรมต่างๆ เช่น Internet of Things (IoT), รถยนต์ไร้คนขับ และการแพทย์ทางไกล
|
ถาม | |
ตอบ |
|
ถาม | |
ตอบ |
|